เมื่อออกจากเฝ้าแล้ว แทนที่มโหสถจะกลับบ้านไปนอนคิดปัญหา ก็เลยเข้าไปเฝ้าพระนางอุทุมพรแล้วทูลถามว่า
ขอเดชะ เมื่อวานหรือวันนี้ พระราชาเสด็จประทับที่ใดนานมาก พระนางอุทุมพรทรงนิ่งนึกอยู่ครู่หนึ่ง จึงตรัสตอบ
เมื่อวานนี้พระเจ้าพี่ประทับอยู่หน้ามุขเป็นเวลานานพอสมควรทีเดียว และได้ยินทรงพระสรวลเบา ๆ เสียด้วย
มโหสถจึงได้ไปที่หน้ามุข ดูไปทางโน้นทางนี้ก็พอดีพบเจ้าแพะกับสุนัขกำลังกินอาหารของตนอยู่บนที่เดียวกัน พอเห็นก็ทำให้ตีปัญหาออกทีเดียว จึงได้ทูลลาพระนางอุทุมพรกลับบ้าน
ส่วนบัณฑิตทั้ง ๔ นั้นคิดอะไรไม่ออกเลย เสนกะไปถามทั้ง ๓ ท่านต่างก็บอกว่าคิดอะไรไม่ออก ไมรู้ว่าจะแก้ปริศนาของพระราชาได้อย่างไร เสนกะจึงกล่าวชวน
งั้นไปดูลาดเลามโหสถดูทีหรือ เขาเป็นคนฉลาดอาจจะคิดได้
แล้วก็พากันไปบ้านมโหสถ เมื่อมโหสถได้เห็นก็รู้ว่านักปราชญ์ทั้ง ๔ มาเพราะปริศนานั้น แต่แกล้งทำเป็นไม่รู้ แสดงอาการดีอกดีใจต้อนรับนักปราชญ์ทั้ง 4 อย่างดี และไม่ถามอะไรทั้งหมด เสนกะเมื่อเห็นว่ามโหสถไม่ถามก็อดไม่ได้ เลยถามออกมาตรง ๆ ว่า
มโหสถ ที่พวกเรามาหาท่านก็เพราะปริศนาของพระเจ้าอยู่หัวนั้นแหละ พวกเราคิดกันแล้วแต่ไม่อาจจะตีความหมายของปัญหานั้นได้ ท่านล่ะพอจะคิดได้บ้างไหม?
มโหสถยิ้มพลางพูดเรื่อย ๆ
ท่านอาจารรย์ ปัญหาชนิดนี้เป็นเรื่องง่ายเสียเหลือเกินข้าพเจ้าคิดว่าท่านอาจารย์คิดได้แล้วเสียอีก ข้าพเจ้าน่ะคิดเห็นได้ตั้งแต่ออกจากเฝ้าออกจากที่เฝ้ามาแล้ว
เมื่อท่านทราบ ก็ควรจะบอกให้พวกเราได้ทราบไว้บ้าง มโหสถคิดว่า ถ้าเราไม่บอก พวกนี้ก็จะต้องถูกขับจากแว่นแคว้น เสื่อมจากลาภยศ เราเองแม้จะเจริญด้วยชื่อเสียงลาภยศก็ปรากฎไปได้ไม่กี่วันเชียว อีกอย่างนักปราชญ์เหล่านี้ไม่มี คุณค่าปัญญาของเราก็คงไม่ปรากฎ เพราะฉะนั้นนคนเหล่านี้ยังไม่ควรที่จะต้องถูกขับไล่ ควรอยู่ร่วมรับราชการด้วยกันไปก่อน
จึงพูดตอบว่า
ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าไม่รังเกียจเลยในการที่จะบอกแต่ข้าพเจ้าจะบอกทีละคนเท่านั้น
ก็ได้ แล้วแต่ท่านเถิด มโหสถจึงให้นักปราชญ์เหล่านั้นเรียนคาถากันคนละบทแล้วจึงกลับไป
รุ่งขึ้นในการเข้าเฝ้า พอพระเจ้าวิเทหราชเสด็จออกทรงตรัสถามเสนกะทีเดียว
ว่าอย่างไรท่านอาจารย์ ปัญหานั้นไปนั่งคิดนอนคิดมาดีแล้วหรือยัง
ขอเดชะ คิดได้แล้วพระเจ้าค่ะ และยังแถมท้ายต่อไปอีกว่า
คนอย่างเสนกะคิดไม่ได้แล้ว อย่ามีคนอื่นคิดได้เลยพระเจ้าค่ะ พระเจ้าวิเทหราชทรงพระสรวลอย่างชอบพระทัย
เอ้า ท่านอาจารย์ลองแก้มาฟังดู เสนะกะก็เลยกล่าวคาถาที่มโหสถบอกให้ ทั้ง ๆ ที่ตนไม่รู้อะไรกันแน่ว่า
เนื้อแพะเป็นที่ชอบใจของพลเมือง แต่เนื้อสุนัขหามีคนประสงค์ไม่ ครั้งนี้แพะกับสุนัขจึงเป็นเพื่อนกันได้ เพียงเท่านี้พระเจ้าวิเทหราชก็ดำริว่า
"เออ ท่านอาจารย์เสนกะก็รู้ แล้วตรัสถามปุกกุสะต่อไปเขาก็ทูลตอบอย่างที่ตนเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า
ธรรมดาโลกเขาจะขี่ม้า ใช้หนังแพะเป็นเครื่องลาด แต่ไม่มีใครใช้หนังสุนัขปูลาดเลย ครั้งนี้สุนัขกับแพะก็เป็นสหายกันได้ พระเจ้าวิเทหราชก็ทรงดำริเช่นนั้นอีก แล้วตรัสถามกามินทร์ต่อไป ท่านกามินทร์ก็ท่องคาถาอย่างนกแก้วนกขนทองออกมาว่า
แพะมีเขาโค้งงอ แต่หมาไม่มีเขา ทั้งหมาและแพะจึงเป็นสหายกันได้ จึงตรัสถามเทวินทร์ต่อไป เทวินทร์ก็ร่ายโศลกอย่างอาจารย์ทั้ง ๓ ท่านร่ายมาว่า
แพะกินหญ้า กินใบไม้ สุนัขไม่กินหญ้า และไม่กินใบไม้ แต่จับกระต่ายหรือแมวกิน ประหลาดแพะกับสุนัขก็เป็นเพื่อนกันได้ เอ้ะ? ท่านนักปราชญ์ทั้ง ๔ นี่สำมะคัญ ทรงนึกในพระทัยลองถามมโหสถดูทีจะได้หรือมิได้ประการใด
ยังไงพ่อมโหสถ พ่อจะแก้ปัญหาว่าอย่างไร
ขอเดชะ ปริศนานี้ข้าพระองค์แก้ดังนี้ แพะมี ๔ เท้า และสุนัขก็มี ๔ เท้า ทั้งสองแม้จะมีอาหารต่างกัน คือแพะกินหญ้า สุนัขกินปลาและเนื้อ แต่สัตว์ทั้งสองต่างนำอาหารก็นำอาหารมาฝากกันและกัน เพราะฉะนั้นมิตรธรรมจึงบังเกิดแก่สัตว์ทั้งสอง ทรงพระสรวลลั้น
เออ เก่ง ๆ ยังงั้นสิ นักปราชญ์ในราชสำนักวิเทหราชมันต้องอย่างงี้สิ เอ้า เจ้าพนักงานเบิกเงินมารางวัลให้ท่านนักปราชญ์ทั้ง ๕ สักคนละ ๑๐ ชั่ง ก็เป็นอันว่าทุกคนรอดพ้นจากการต้องถูกขับออกจากพระราชนิเวช และยังแถมได้เงินรางวัลเสียอีกด้วย
ธรรมดางูพิษ แม้ใครจะทำคุณสักเพียงไรก็ไม่รู้จักคุณอยู่เพียงนี้ นักปราชญ์ทั้ง ๔ ท่านคือเสนกะ ปุกกุสะ กามินทร์ และเทวินทร์ ก็เช่นเดียวกับงูพิษ แล้วเจ้ามโหสถจะช่วยให้รอดพ้นเช่นนี้ก็ยังหาคิดถึงคุณไม่ กลับหมายมั่นปั้นมือจะเล่นงานเจ้ามโหสถให้ได้
นี่แหละที่โบราณเขาว่า ความรู้ท่วมหัวแต่เอาตัวไม่รอดอยากให้คนอื่นเดือดร้อน นั่นแหละเป็นความพอใจของท่านเหล่านั้น
ไม่มีก็แล้วกัน ถ้ามีโอกาสเมื่อไรมึงหัวหลุด เจ้ามโหสถไม่ได้เฉลียวใจถึงเหตุร้ายเหล่านี้เลย เพราะฉะนั้นจึงตกเป็นเครื่องเหยื่อของนักปราชญ์อธรรมเหล่านั้น ซึ่งก็ขอยืมมือคนอื่นเล่นงานเจ้ามโหสถแทบตายไปเลยทีเดียว ดูกันต่อไป