พระมโหสถ ๑๒

 
       เมื่อบัณฑิตทั้ง   ๔     ท่านส่งของเหล่านั้นไปเข้าบ้านมโหสถเสร็จแล้ว คราวนี้จะต้องถึงคราวที่จะติดตามของเหล่านั้นมาล่ะ ตาย ตายแน่ ๆ ทั้ง   ๔   คน   คิดเหมือน ๆ กัน

     ประวัติศาสตร์ของไทยเราเคยมีมาแล้ว ดำเนินนโยบายเหมือนเรื่องนี้ แต่เรื่องสำเร็จเพราะถูกคนใส่ความต้องหัวขาดโดยราชอาญา แม้ใครจะรู้ภายหลังก็ธุระไม่ใช่ สมัยแผ่นดินพระเพทราชา หลังจากเปลี่ยนแผ่นดินเสร็จเรียบร้อย เฉลิมฉลองยกย่องให้เกียรติแก่ผู้ช่วยเหลือเรียบร้อยแล้ว พระราชวังหลวง (นายจล คชสิทธิ์) ก็มีอันเป็นไปต้องราชอาญาฐานลักทรัพย์ คือถาดทอง ค้นของกลางได้ที่วังก็เป็นอันว่าตำเหน่งพระราชวังหลังต้องลงไปเสวยตำเหน่งในโปรโลก ดูเอาเถอะ พระราชวังหลังขโมยถาดทอง นี้เป็นเรื่องประวัติศาสตร์ ถ้าไม่มีลายลักษณ์อักษรก็คงไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้ แต่ก็เป็นไปแล้ว ทั้งสองเรื่องนี้ใครเอาอย่างใคร แต่เรื่องของมโหสถนี้เก่ากว่าประวัติศาสตร์ของเราแน่ ปราชญ์ทั้ง   ๔     คอยหาโอกาส

     วันหนึ่งพระเจ้าอยู่หัวกำลังสำราญพระทัยหลังจากออกขุนนางแล้ว ก็เสด็จมาสนทนากับนักปราชญ์ผู้ไม่อยากเห็นผู้อื่นดีกว่าตัว เสนกะได้ท่าจึงทูลถามว่า
     “ขอเดชะ เดี๋ยวนี้พระองค์ไม่ทรงพระจุฑามณีเลยพระเจ้าค่ะ”
     “ฮ้ะ ฮ้ะ ท่านนักปราชญ์สังเกตสำคัญจริง เราไม่ค่อยได้หยิบจุฑามณีมาใช้เลย ท่านอาจารย์เตือนขึ้นก็ดีแล้ว จะได้ใช้เสียที”
     “เฮ้ย ใครอยู่ข้างในหยิบจุฑามณีมาให้ข้าที” ทรงหันไปร้องสั่งมหาดเล็ก แล้วก็หายเงียบไปสักพักใหญ่ มหาดเล็กคนหนึ่งก็ออกมากราบทูลว่า
     “ขอเดชะ พระจุฑามณีไม่ได้อยู่ในที่พระเจ้าค่ะ พวกเก่าแก่คิดว่าพระองค์ทรงเอาออกมาเสียอีก”
     “อุวะ ทรงอุทานด้วยความฉุนเฉียว
     “ไปดูใหม่พร้อมทั้งรองเท้าและรองเท้าประจำตัวของข้าด้วย” เจ้ามหาดเล็กหายเข้าไปสักพักใหญ่ ก็กลับมาทูลว่า
     “ท่านท้าวของที่ว่า ค้นหาจนทั่วแล้วก็ไม่พบ และยังมีของที่หายไปจากที่อื่นอีก   ๓     อย่างด้วยกัน”
     “อะไรอีกล่ะ” ทรงถามสวนขึ้นมา
     “มีที่รองพระบาท ดอกไม้ทอง และผ้าคลุมบรรทม พระเจ้าค่ะ”
     “เอ ของในวังมันจะหายไปได้ยังไง ?   ไปเรียกท้าวนางมา” มหาดเล็กก็ไปตามรับสั่ง

     เมื่อท้าวนางมาแล้ว พระองค์ก็สอบถามแต่ก็ไม่ได้ความ อาจารย์เสนกะจึงกราบทูลขึ้นว่า
     “ขอเดชะ พระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ เรื่องนี้คนใกล้ชิดเห็นจะไม่มีใครกล้า เพราะของเหล่านั้นตนเป็นผู้รักษาอยู่เอง เห็นจะเป็นคนนอกมากกว่า เพราะคนเหล่านั้นที่เข้านอกออกในได้ก็ไม่เห็นจะเป็นคนนอกมากกว่า เพราะคนที่เข้านอกออกในได้ก็ไม่เห็นมีใครนอกจากพวกข้าพระองค์   ๕  คน  และข้าพระองค์เคยได้ยินคนใช้มันพูดว่า มโหสถมีอาภรณ์เหล่านี้ใช้ เดิมทีข้าพระองค์ไม่เชื่อ แต่เมื่อมารู้ว่าของเหล่านี้หายไป ข้าพระองค์ก็เลยเชื่อว่ามโหสถเอาไปพระเจ้าค่ะ มโหสถเห็นจะไม่ซื่อเสียแล้วพระเจ้าค่ะ”


 
    สายของมโหสถซึ่งวางไว้ก็รีบนำความไปแจ้งแก่มโหสถถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น มโหสถรีบแต่งตัวเข้าวัง เพื่อจะไปแก้ข้อกล่าวหาของอาจารย์ทั้ง   ๔   แต่เมื่อไปถึงกลับถูกพระราชาไม่ให้เข้าเฝ้า เลยต้องกลับ และเมื่อมโหสถกลับออกไป โดยไม่ต้องไต่สวนทวนความให้แน่ชัดก็สั่งจับมโหสถทันที เมื่อมโหสถรู้ข่าว เห็นไม่มีทางแก้ตัวได้เลย ต้องหลบไปเสียก่อน     การกระทำของพระเจ้าวิเทหราชเช่นนี้ ตรงกับคำของครูเทพได้ว่าไว้ว่า

ก็สมควรจะป่วนเปิง เพราะใช่เชิงตุลาการ
จะตัดสินจะตั้งศาล จะต้องโจทก์จำเลยสม
แม้ไต่สวนมิควรข้อง ก็ยกฟ้องนิรารมย์
จะชอบเชิงวิชาชิตชม เผชิญดุลวินิจฉัย

     ก็จริงอย่างว่า ถูกฟ้องก็เชื่อโดยไม่ได้ตรึงตรองให้แน่ชัดใครอยู่ใกล้พูดถูกใจ ถูกเป็นผิด ผิดเป็นถูก ปั้นเข้าเป็นได้ความเรื่องนี้เคยมีมาแล้ว   เอส ธมฺโม สนนฺตโน พระพุทธเจ้าตรัสว่า เรื่องเคยนี้มาแล้ว ไม่ใช่ของใหม่ ไม่แปลกเขาทำกันยังงี้ทั้งนั้น

     เมื่อราชบุรุษที่ไปจับกลับมากราบทูลว่า ไม่พบตัวมโหสถไม่ทราบว่าหายไปที่ไหน ก็รับสั่งให้จับให้ได้ ฝ่ายอาจารย์ทั้ง   ๔   ผู้เป็นมนุษย์ที่ไม่ยอมให้ใครดีกว่าตน รู้ว่ามโหสถหนีไปแล้วก็ดีใจ ก้างขวางคอหมดไปเสียได้ผงในตาหลุดไปเสียได้ดีใจจริง ๆ จึงปรึกษากัน
     “เจ้ามโหสถหนี หากโผล่มาเป็นถูกจับ นับแต่นี้พวกเราก็สบาย ไม่มีใครจะมาชิงดีชิงเด่นกับพวกเราทั้ง   ๔   คน     อีกประการหนึ่ง เมียเจ้ามโหสถมันสวยกว่ายายแก่ของเราเป็นไหน ๆ พวกเราลองไปเกลี้ยกล่อมดู บางทีนางจะเห็นดีด้วยก็ได้”
     “แต่ใครจะไปก่อนล่ะ”     ก็หาคนไปไม่ได้ เพราะต่างคนก็ต่างจะไปโดยไม่ให้ใครล่วงรู้เลย เป็นอันว่าตกลงกันไม่ได้ แต่ทั้ง   ๔   คน     ก็ส่งของกำนัลไปให้นางอมร ซึ่งนางก็รู้เท่าทันจึงนัดหมายให้อาจารย์ทั้ง 4 มาคนละเวลา โดยไม่ให้พบกันได้ แล้วนางก็จัดแจงทำกระดานหกที่หลุมส้วม


 
      คอยดูต่อไปว่านางอมรจะจัดการกับตาเฒ่าหัวงูที่อยากมีเมียสาวสวยอย่างไรบ้าง เมื่อนัดให้อาจารย์เสนกะมาหาในยามค่ำ แล้วนางก็จัดแจงแต่งตัวไว้รับหน้าอย่างงามพริ้งทีเดียว พออาจารย์เสนกะโผล่เข้ามาพบ
     “แม่เจ้าโว้ย..นางฟ้าหรือไร สวยงามหยดย้อยอย่างนี้ เดี๋ยวก็คงจะรู้ดีแน่” แต่นางอมรกลับบอกให้ไปอาบน้ำอาบท่าให้ดีเสียก่อนจะได้คุยกันอย่างสบาย แล้วก็ให้สาวใช้พาอาจารย์เสนกะไปเข้าห้องน้ำ นางสาวใช้ก็พาไปที่ทำกระดานหกไว้ พออาจารย์เสนกะก้าวเข้าไปกระดานก็หก อาจารย์เสนกะก็หล่นลงไปในหลุมอุจจาระทั้งหัวหูดูไม่ได้ เต็มไปด้วยอุจจาระทั้งนั้นจะขึ้นก็ไม่ได้ แลดูไปทางไหนก็มืดไปหมด ต้องเกาะข้างหลุมรอความตาย

     จากนั้นอีกราวชั่วโมง ปุกกุสะซึ่งได้รับการนัดหมายจากนางอมรก็มา แล้วก็ตกลงไปในหลุมคูด้วยประการเดียวกัน ก็เป็นอันว่าบรรดาอาจารย์เฒ่าหัวงูทั้ง   ๔   ไม่มีใครรอดไปจากหลุมที่เต็มไปด้วยอุจจาระเลย

     พอรุ่งเช้านางอมรก็ให้คนไปเปิดกระดานหก จับเอาตัวทั้ง   ๔   ซึ่งทอดอาลัยในตนแล้วขึ้นมา พอเห็นแสงสว่าง เหมือนเทวดามาโปรด นางอมรให้คนพาไปอาบน้ำอาบท่าเสร็จแล้ว บังคับให้คนโกนหัวเสียหมดทั้ง   ๔   คน ยังไม่พอเท่านั้น นางอมรยังให้ทำอีก เพื่อให้สมแค้น เพราะมโหสถถูกอาจารย์เหล่านี้ทำเล่ห์กล จนต้องหนีไปจากบ้าน นางให้สาวใช้กวนแป้งเปียก แล้วเอามาชะโลมตัวอาจารย์เจ้าเล่ห์ทั้ง   ๔   ซึ่งได้แต่มองตากันปริบ ๆ โดยไม่รู้จะพูดจาอย่างไรถูกอายเสียตนหน้าชาแทบจะแทรกแผ่นดินหนี พอชะโลมเสร็จแล้วก็ให้เอานุ่นมาโรยทั่วตัว แลดูขาวโพลนไปหมดด้วยกันทั้ง   ๔   คน

     มาถึงตอนนี้ทำให้นึกถึงเรื่องรามเกียรติ์ตอนหนุมานเผากรุงลงกา ทศกัณฐ์สั่งให้เสนาเอาหนุมานไปคลุกนุ่นจนขาวไปทั่วทั้งตัวแล้วก็จุดไฟ แล้วเป็นไงรู้ไหมกรุงลงกาวอดไปทั้งเมือง แต่นี้ไม่ถึงกับมิถิลาวอด

     เท่านั้นยังไม่พอ นางให้เอากระชุ แล้วเอาเสื่อลำแพนหุ้ม มัดด้วยเชือกให้แน่น เสร็จเรียบร้อยแล้วนางก็เอาสิ่งของที่รับซื้อไว้ พร้อมกับให้คนแบกอาจารย์ทั้ง   ๔   ตามไปในพระราชวัง พอเป็นเวลาเสด็จออกขุนนาง นางอมรเข้าไปถวายบังคมแล้วกราบทูล


หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7
  หน้า 8   หน้า 9   หน้า 10   หน้า 11   หน้า 12   หน้า 13   หน้า 14