พระมโหสถ ๖

 
  
เรื่องกระโหลกศรีษะ

      หลังจากเรื่องนั้นผ่านไปไม่นาน พระเจ้าวิเทหราชก็คิดจะทดลองเจ้ามโหสถดูอีกว่า จะเป็นคนฉลาดทรงความรู้จริงหรือไม่ จึงให้ส่งกะโหลกศรีษะไปให้ชาวบ้านทางตะวันออก พร้อมกับบังคับว่า “ถ้าชาวบ้านบอกว่ากระโหลกศรีษะอันไหนเป็นหญิงเป็นและเป็นชายไม่ได้ จะต้องถูกปรับพันกหาปณะ" ซึ่งจะเทียบในสมัยนี้ก็เท่ากับ  ๔.๐๐๐ บาท   ซึ่งก็นับว่าไม่น้อยเหมือนกัน

     พอท่านเศรษฐีได้รับคำสั่งก็เรียกประชุมผู้เฒ่าผู่แก่ทันทีลองสอบถามกันดูว่ามีใครทราบบ้าง แต่ก็หาคนทราบไม่ได้ เรื่องก็ถึงมโหสถอีกนั่นแหละ เพียงแต่มองเห็นคราวแรกเท่านั้น มโหสถก็กล่าวว่า “พุทโธ่ ? นึกว่าจะเป็นปัญหายากเย็นแสนเข็ญเพียงไรที่แท้ก็ปัญหาเด็ก ๆ นั่นเอง” “ถ้าอย่างนั้นก็เป็นหน้าที่ของพ่อที่จะแก้ปัญหานั้” ท่านเศรษฐีกล่าว เหมือนกับว่ามโหสถได้เคยศึกษากายวิภาคมาหรืออย่างไรเขาหยิบกะโหลกขึ้นมากะโหลกหนึ่งพร้อมกับชี้แจง” “กะโหลกนี้เป็นศรีษะของผู้ชาย” “เพราะอะไร” “เพราะรอยประสานชองกะโหลกที่เป็นทาง ๆ หรือที่เรียกว่าแสกตรง จึงรู้ได้ว่าเป็นกะโหลกของชาย” “ส่วนผู้หญิงล่ะ” “ก็ดูโดยตรงกันข้ามน่ะสิ คือแสกในกะโหลกศรีษะของหญิงคดไม่ตรงเหมือนอย่างชาย เพราะฉนั้นท่านบิดาบอกไปได้เลยว่า กะโหลกที่มีแสกตรงเป็นกะโหลกชาย และกะโหลกที่มีแสกคดเป็นกะโหลกหญิง”

     เมื่อพระเจ้าวิเทหราชทรงสอบถามว่า เป็นความคิดของใครก็ได้รับทราบว่าเป็นของมโหสถ ก็มีพระทัยเต็มตื้นไปด้วยความปราโมทย์ แต่ยังมิได้รับเข้ามาในพระราชสำนักเพราะท่านเสนกะยังจะต้องทดลองอีกต่อไป


 
  
เรื่องของงู

      คราวนี้พระเจ้าวิเทหราชส่งงูไปให้ชาวบ้านแจ้งมาว่าเป็นงูตัวผู้หรือตัวเมีย ถ้าไม่ได้ก็ต้องปรับเป็นเงินตั้ง  ๔.๐๐๐ บาท   ชาวบ้านก็ต้องหมดปัญญาตามเดิม เรื่องมันก็ต้องถึงมโหสถ

     มโหสถก็ได้แก้ปัญหานี้โดยแสดงว่า ลักษณะของงูตัวผู้หางและหัวใหญ่ นัยน์ตาใหญ่ ลวดลายที่ลำตัวติดต่อกัน ส่วนลักษณะของตัวเมียนั้นมีว่าหางงูตัวเมียเรียวและหัวก็เรียว นัยน์ตาเล็ก ลวดลายตามตัวไม่ค่อยจะติดกัน และชี้ให้ชาวบ้านเห็นว่างูที่ส่งมานั้นตัวไหนเป็นตัวผู้ และตัวไหนเป็นตัวเมีย

     ชาวบ้านก็นำเอาปัญญานี้ไปแก้ให้พระเจ้าวิเทหราชฟัง เมื่อพระเจ้าวิเทหราชทราบว่าเจ้ามโหสถเป็นคนแก้ยิ่งโสมนัสแต่ยังไม่สามารถจะรับเข้ามาพระราชสำนักได้ เพราะนักปราชญ์ที่ดีแต่พูดคือเสนกะ ยังไม่ยอมให้รับเข้ามา เพราะกลัวอะไรต่ออะไรหลายอย่าง และในที่สุดที่กลัวที่สุดก็เห็นจะกลัวมโหสถจะดีกว่านั้นเอง พระเจ้าวิเทหราช แม้จะไม่พอพระทัยนักก็จำยอมและทำการทดลองต่อไป


 
  
เรื่องของไก่

     พระเจ้าวิเทหราชทรงส่งคำไปว่า ให้ชาวบ้านแถบตะวันออกของเมืองส่งวัวตัวผู้ที่มีกายขาวทั้งตัว มีเขาที่เท้า มีโหนกที่ศรีษะ ร้องเพียง  ๓ เวลา  ถ้าส่งมาได้  ๔.๐๐บาท   ต้องเสียตามเคย

    เรื่องนี้เป็นเรื่องอึกทึกครึกโครมกันในที่ประชุมของชาวบ้านกันมาก บางคนถึงกับว่า “ออกจะไม่ยุติธรรมสักหน่อย ที่พวกชาวบ้านเราถูกกะเกณฑ์ให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าไม่ได้ก็ถูกปรับไหม ถ้าเราไม่มีเจ้ามโหสถอยู่แล้ว ป่านนี้เราคงเหลือแต่กางแกงในแล้วก็ได้ อีกคนก็ค้านว่า
   “คนไม่ใช่อย่างนั้นหรอกน่า เพราะพ่อมโหสถมาอยู่ที่บ้านนี้น่ะสิจึงทำให้เรามีภาระอย่างนี้ และเจ้ามโหสถก็แก้ได้ทุกครั้งเสียด้วย ถ้าไม่มีอย่าว่าแต่กางแกงในเลยน่ะ ไม่เหลือเลย จะเหลือก็แต่ตัวในชุดวันเกิดเท่านั้น เราน่ะมันช้างเท้าหลังเขาสั่งอะไรก็ทำไปก็แล้วกัน"
   “ลองไปถามไปถามเจ้ามโหสถก่อนเห็นจะดีเป็นแน่” “เออดี” ทุกคนรีบรับคำ เมื่อเศรษฐีไปถามมโหสถ ๆ ก็พูดว่า “วัวเวออะไรพ่อท่าน ไม่ใช่วัวหรอก” “ถ้างั้นเป็นอะไรล่ะ”
   “พ่อก็ พระเจ้าแผ่นดินท่านให้พวกบ้านเราส่งไก่ขาวให้พระองค์ เพราะอะไรพ่อท่านลองคิดดูก็ได้ว่าวัวตัวไหนล่ะจะมีเขาที่เท้า ถ้ามันมีจริงเห็นจะเป็นวัวที่เขาเอาไปออกงานวัดเป็นแน่” “แล้วทำไมเจ้าจึงว่าเป็นไก่ล่ะ"
  “ก็คือว่า ไก่น่ะชื่อว่ามีเขาที่เท้า เพราะมีเดือยที่เท้าทั้งสอง มีโหนกที่ศรีษะ ก็คือหงอนไก่นั้นเอง ร้องไม่ล่วง ๓ เวลา พ่อท่านลองคิดดูไก่ที่ดีจะขยันเป็นยามเป็นเวลาเท่านั้น และไก่ก็ขันเพียง ๓ เวลาเท่านั้น ฉันคิดว่าพระเจ้าแผ่นดินไม่ได้ประสงค์วัวหรอก แต่ประสงค์ไก่ขาวต่างหาก” “เออ.. เข้าใจอย่างนี้พ่อก็โล่งใจ”

     ท่านเศรษฐีจึงได้ส่งไก่ขาวไปถวายพระเจ้าแผ่นดินทำให้ชาวบ้านไม่ต้องเสียค่าปรับไปได้อีกครั้งหนึ่ง

     พระเจ้าวิเทหราชก็ตรัสถามชาวบ้านที่นำไป ถามว่าใครเป็นคนตอบปัญหานี้ ก็ได้รับคำตอบว่าเป็นความคิดของมโหสถซึ่งพระองค์ตรัสถามก็ได้รับคำคัดค้านจากเสนกะจอมปราชญ์ผู้ยิ่งใหญ่ตามเคย พระองค์ก็ต้องคล้อยตาม
   “รอดูไปก่อนพระเจ้าค่ะ ช้าเป็นนานก็เป็นกิจพระเจ้าค่ะ เราจะได้คนดีก็เพราะเขามีความอดทนพระเจ้าค่ะ”


 
  
เรื่องแก้วมณี

      หลังจากที่ได้สั่งให้ส่งโคที่มีรูปร่างวิปริตผิดพิกลมาราชสำนัก ตราบจนกระทั่งมโหสถได้ส่งไก่ขาวมาให้แล้ว พระเจ้าวิเทหราชก็คิดจะส่งอะไรไปทดลองปัญญามโหสถอีก ในราชสำนักมีแก้วมณีอยู่ดวงหนึ่งข้างในคดถึง ๘ แห่ง และเชือกที่ร้อยแก้วมณีนั้นนานเข้าก็เก่าและขาดออกไป เลยใช้อะไรไม่ได้ต้องเก็บไว้เฉย ๆ “เออ.. จะเข้าที ส่งไปลองปัญญาเจ้ามโหสถดูที ถ้าแก้ได้ก็จะได้ประโยชน์ด้วย”

     เมื่อทรงดำริเช่นนั้นแล้ว พระเจ้าวิเทหราชก็จัดแจงส่งแก้วมณีดวงนั้นไปยังเศรษฐีผู้เป็นบิดาของเจ้ามโหสถ พร้อมกับคำสั่งว่า “ถ้าชาวบ้านตะวันออกร้อยแก้วมณีนี้ไม่ได้ จะต้องถูกปรับ  ๔.๐๐๐ บาท   และจะถูกลงโทษอย่างอื่นด้วย” คำสั่งนี้ไปถึงปาจีนวยมัชณคาม ชาวบ้านก็บ่นกันพึม
   “รายการซวยมาอีกแล้ว นี่ถ้าบ้านเราไม่มีมโหสถ พวกเรามิต้องขายตัว แล้วเอาไปให้เป็นค่าปรับของพระเจ้าแผ่นดินแล้วหรือ” "เราจะต้องกังวลอะไรล่ะ พอมีปัญหามาเจ้ามโหสถก็แก้ไปส่ง เราไม่เห็นจะต้องเดือดร้อนอะไร ยังแถมได้ชื่อเสียงด้วยว่า ชาวบ้านเราแก้ปัญหาเหล่านี้ได้”
   “จริงของเกลอแฮะ เจ้ามโหสถเกิดมาสร้างประโยชน์ให้บ้านเรา และชาวบ้านทั้งหมดมีชื่อเสียงเลื่องลือไปตลอดวิเทหรัฐ” เมื่อแก้วมณีได้ถูกส่งมาแล้ว ผู้เฒ่าผู้แก่ประจำหมู่บ้านพิจารณาดูแล้วก็สั่นหัว
   “ใครจะไปร้อยได้ แก้วอะไรมีคดตั้งเยอะแยะ จะเอาด้ายอะไรร้อยเข้าไปได้ ยังมีด้ายเก่าขาดอยู่ข้างในอีก แล้วใครจะเอาออกได้ เรื่องนี้สงสัยว่าเจ้ามโหสถจะทำได้หรือไม่ พวกเราน่ะเห็นทีจะไม่มีปัญญาทำล่ะ” “คราวนี้เห็นทีจะต้องเสียเงินค่าปรับให้แก่พระเจ้าแผ่นดินเสียกระมัง”
   “ไปเรียกเจ้ามโหสถมาถามดูดีกว่า พวกเราน่ะมันแก่จนปัญญาก็เก่าตามไปด้วย ไม่ได้ความสักอย่าง” เศรษฐีก็ให้คนไปตามเจ้ามโหสถมาจากสนามเด็กเล่นพร้อมกับส่งแก้วมณีให้ดูแล้วถามว่า “พ่อก็เอาด้ายเก่าออก แล้วร้อยด้ายใหม่เข้าไปใหม่” “พวกพ่อเฒ่าว่ายังไงบ้างล่ะ ?” เจ้ามโหสถถาม “อย่าถามคนแก่เลยพ่อคุณ ปัญญามันเหี่ยวตามสังขารร่างกายไปนานแล้ว”
   “พ่อพิจารณาให้ดี จะได้ประดับสติปัญญาคนแก่บ้าง” มโหสถพลิกแก้วไป ๆ มา ๆ พร้อมกับกล่าวว่า “ท่านพ่อให้ใครไปเอาน้ำผึ้งมาสักหน่อย” “จะเอามาแช่หรือดองแก้วหรือ ? คนแก่คนหนึ่งถาม “เอามาก็แล้วกัน แล้วพ่อลุงจงคอยดูว่าหลานน่ะจะเอาด้ายเก่าออกได้หรือไม่”

     เมื่อคนเอาน้ำผึ้งมาให้แล้ว เจ้ามโหสถก็หยดลงไปในรูแก้วมณี น้ำผึ้งค่อย ๆ ไหลเข้าไปตามคดจนเปียกชุ่มด้ายที่อยู่ข้างใน แล้วเจ้ามโหสถก็เอาไปวางที่ปากรูมด พักเดียวเท่านั้นเจ้ามดทั้งหลายก็กรูเกรียวกันเข้ามากินน้ำผึ้งพร้อมกับฉุดลากเอาด้ายออกมาด้วย ผู้เฒ่าผู้แก่ที่ได้เห็น ถึงกับจุ๊ปาก
   “ชะ ๆ ปัญญาเจ้าเด็กน้อยนี่มันดีจริง... เป็นเราก็ส่ง  ๔.๐๐๐ บาท   ไปแทนแน่ ๆ “ “เป็นไงพ่อลุงทั้งหลายเห็นแล้วหรือยัง พอจะทำได้ไหม” “พ่อทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว คนแก่ทำได้ ว่าแต่ด้ายใหม่เถอะ จะร้อยเข้าไปได้อย่างไร”

     มโหสถจึงเอาด้ายใหม่มาทาทางปลายด้ายด้วยน้ำผึ้งแล้วใส่เข้าไปในรู ซึ่งก็เข้าไปได้เพียงนิดเดียวก็คดแล้วให้เอาน้ำผึ้งใส่เข้าไปอีกทาง แล้วเอาไปวางที่ปากรูมดล่อให้มดออกมากินน้ำผึ้ง มดก็ไปกินน้ำผึ้ง พร้อมกับไปลากเอาด้ายนั้นออกมาอีกทางหนึ่งได้

     เจ้ามโหสถจึงบอกกับท่านเศรษฐีว่าสำเร็จแล้ว และให้คนนำไปถวายพระเจ้าวิเทหราช เมื่อพระเจ้าวิเทหราชได้ทอดพระเนตรเห็น แทบไม่เชื่อว่าชาวบ้านจะทำได้ เพราะช่างหลวงทั้งปวงก็จนปัญญา ไม่สามารถจะร้อยได้ จนต้องทิ้งไว้เฉย ๆ โดยไม่มีประโยชน์ ที่ส่งไปก็เพื่อทดลองปัญญาเจ้ามโหสถเท่านั้น แต่ผลที่ได้เอกอุยิ่งนัก

     จึงสอบถามชาวบ้านทำอย่างไรกันจึงร้อยได้ ชาวบ้านได้กราบทูลให้ทรงทราบทุกประการ ทรงทราบว่าเป็นปัญญาของเจ้ามโหสถ ก็เต็มตื้นไปด้วยความปราโมทย์ยิ่งนัก อยากจะรับเข้ามาในราชสำนัก แต่ขัดด้วยท่านอาจารย์ทั้ง ๔ ยังไม่ยินยอม เกรงจะเกิดเป็นเรื่องอันตรายแก่เจ้ามโหสถ จึงคิดจะต้องให้นักปราชญ์ทั้ง ๔ ยินยอมให้จงได้ พระองค์จึงตรัสกับอาจารย์ทั้ง ๔ อย่างยิ้ม ๆ ว่า
   “เป็นอย่างไรท่านอาจารย์ ควรจะรอต่อไปอีกไหม” “ควรรอต่อไปพระเจ้าค่ะ”


 
  
เรื่องวัวออกลูก

      เมื่อทรงรออยู่ชั่วระยะเวลาหนึ่ง พระองค์ก็จัดให้เอาวัวตัวที่มีรูปร่างอ้วนท้วน เอาอาหารและน้ำกรอกปากโคเข้าไปจนพุงกางคล้าย ๆ กับแม่วัวมีท้อง และให้อาบน้ำให้ชำระกายทาขมิ้นเป็นอย่างดี แล้วส่งไปให้ชาวบ้านทิศตะวันออกตามเคย
  “ถ้าชาวบ้านทำให้วัวตัวนี้ออกลูกไม่ได้ จะต้องถูกปรับเป็นเงิน  ๔.๐๐๐ บาท   ชาวบ้านพอได้เห็นก็หัวเราะด้วยความขบขัน
   “โลกจะแตก” บางคนว่า
   “ก็มันเป็นวัวตัวผู้จะให้มันออกลูกได้ยังไงกันนะ ถ้าขืนออกเป็นอันว่าหมาต้องมีขา เต่าต้องมีหนวดแน่ ๆ” บางคนก็ว่า
   “พิจารณาดูให้ดีนะเกลอ อาจจะมีอะไรแฝงอยู่ก็ได้ ถ้ามิเช่นนั้นพระเจ้าแผ่นดินท่านไม่ส่งมาให้พวกเราจัดการหรอก”
   “อกอีแป้นจะพัง” หญิงบางคนว่า
   “บางทีเรื่องนี้อาจจะมีคนไม่ค่อยเต็มเต็งอยู่ในวังก็ได้นะ อาจจะแนะนำบ้า ๆ บอ ๆ ก็ได้”
   “อย่าไปคิดอย่างนั้นสิ การที่ทำสิ่งเหลือวิสัยนั้นพระเจ้าอยู่หัวท่านไม่ทำแน่ คงจะมีอะไรบางอย่างที่พวกเราไม่รู้ แต่มโหสถของพวกเรารู้ก็เป็นได้ เรื่องนี้ต้องให้มโหสถจัดการจึงจะแน่”

     ท่านเศรษฐีจึงให้คนไปตามมโหสถมา แล้งจึงชี้แจงคำสั่งให้ฟัง มโหสถพิจารณาวัวแล้วก็หัวเราะ แล้วว่า
   “เรื่องนี้เป็นธุระที่ข้าพเจ้าจะจัดการให้เรียบร้อย แต่ต้องการคนกล้าสักหน่อย พ่อท่านลองหาตัวคนดูทีหรือว่าจะมีใครกล้าหาญพอจะตอบโต้กับพระเจ้าแผ่นดินได้” ท่านเศรษฐีก็ได้จัดหาคนตามที่ต้องการ แล้วก็นำเข้ามา ให้มโหสถ
   “ท่านกล้าหาญพอจะโต้ตอบกับพระราชา โดยไม่ประหม่าครั่นคร้ามได้หรือไม่”
   “ได้พ่อมโหสถ ข้าพอทำได้” มโหสถจึงแนะนำว่า
   “ท่านไม่ต้องกลัวหรือประหม่าอะไรทั้งหมด ท่านต้องนึกเสมอว่าท่านเป็นตัวแทนของชาวบ้านเรา เป็นตัวแทนข้าพเจ้าซึ่งต้องรักษาชื่อเสียงให้ดีด้วย แล้วปล่อยผมให้รุงรัง เดินร้องไห้คร่ำครวญเรื่อยไป ใครถามอย่าตอบ จะตอบก็เฉพาะพระเจ้าแผ่นดินเท่านั้น” แล้วก็ส่งไป

     ชายผู้นั้นพร้อมกับพรรคพวก  ๓– ๔ คน   พอเป็นเพื่อนเดินทาง ก็ทำตามคำแนะนำของเจ้ามโหสถ แม้อำมาตย์ข้าราชบริพารถามอย่างไรเขาก็ไม่ตอบ คงร้องไห้คร่ำครวญเรื่อยไป จนกระทั่งถึงพระเจ้าแผ่นดิน
   “ขอได้โปรดเป็นที่พึ่งด้วยเถิดพระเจ้าค่ะ” ชายผู้นั้นกราบทูลขึ้น “เรื่องอะไรวะ ใครข่มแหงให้เดือดร้อน หรือมีอะไรก็บอกมา เราจะจัดการให้” “มิได้พระเจ้าค่ะ ไม่มีใครทำให้เดือดร้อนหรอกพระเจ้าค่ะ แต่เรื่องเดือดร้อนเกิดขึ้นภายในเรือนของกระหม่อมฉันเองพระเจ้าค่ะ” “มีอะไรล่ะ”
   “คือว่าท่านบิดาของกระหม่อมฉันเจ็บท้องมาได้  ๗  วันแล้วพระเจ้าค่ะ แต่ลูกไม่ออกมา หมอหมดปัญญาพระเจ้าค่ะ กระหม่อมฉันจึงต้องมาขอพระบารมีปกเกล้าปกกระหม่อม ช่วยให้ท่านบิดาของกระหม่อมฉันได้คลอดโดยสวัสดิภาพหน่อยเถิดพระเจ้าค่ะ”

     พระเจ้าวิเทหราชทรงพระสรวลลั่นไปทั่วพระโรงพร้อมทั้งหมู่อำมาตย์ราชบริพารซึ่งอดกลั้นไว้ไม่ได้ ก็พลอยหัวเราะออกไปด้วย “ฮ่ะ ฮ่ะ เจ้านี่มีสติดีอยู่หรือเปล่าวะ ดูท่าทางจะต้องส่งไปให้หมอเขาพิจารณาเสียแล้ว” แล้วก็ทรงสรวลต่อไปอีก “ได้พระเจ้าค่ะ กระหม่อมฉันปกติดีทุกอย่าง แต่ได้โปรดเถิดพระเจ้าค่ะ บิดากระหม่อมทนทุกข์มาได้หลายวันแล้ว” “ก็ผู้ชายมันจะออกลูกได้ยังไงวะ ขืนออกโลกมันก็จะแตกเท่านั้นเอง” แล้วก็ทรงพระสรวลต่อไปอีก
   “ได้โปรดพระเจ้าค่ะ ถ้าท่านบิดาของกระหม่อมฉันเป็นผู้ชายออกลูกไม่ได้ แล้วโคตัวที่พระองค์ส่งไปบังคับให้ชาวบ้านทิศตะวันออกให้ออกลูกให้ได้ ถ้าไม่ได้ก็จะปรับนั้น จะออกได้อย่างไรพระเจ้าค่ะ” เงียบเสียงทรงพระสรวลทันที พร้อมกันตรัสถามว่า “ว่าไงนะ ว่าใหม่อีกที” ชายผู้นั้นก็ย้ำคำเดิม “เจ้ามาจากบ้านมโหสถรึ” “สำคัญ สำคัญ ข้าลืมไปว่าได้ส่งปัญหาข้อหนึ่งไปให้มโหสถคิด กลับถูกมันซ้อนปัญหาเข้าให้” “เจ้าได้ความคิดนี่มาจากใคร” “จากมโหสถพระเจ้าค่ะ”

     “เอาล่ะ เจ้ากลับไปได้แล้ว ส่งวัวคืนมา แล้วบอกท่านเศรษฐีว่าข้าพอใจแล้ว” พร้อมกับพระราชทานรางวัลให้ชายคนนั้นพร้อมกับพรรคพวก แล้วก็ส่งกลับไป เสร็จแล้วทรงหันไปถามนักปราชญ์ทั้งสี่ซึ่งหมอบเฝ้าอยู่ไม่ห่าง แต่ไม่ถามกลับตรัสเสียเองว่า
   “รอไปก่อน ทดลองดูอีกก่อน” พวกอำมาตย์ข้าราชบริพารยิ้ม ๆ ไปตาม ๆ กัน แต่นักปราชญ์ทั้งสี่ทำหน้าพิกล


หน้า 1   หน้า 2   หน้า 3   หน้า 4   หน้า 5   หน้า 6   หน้า 7
  หน้า 8   หน้า 9   หน้า 10   หน้า 11   หน้า 12   หน้า 13   หน้า 14