พระนางอุทุมพร
ปิงคุตตระไปเรียนวิชายังเมืองตักสิลา อันนับว่าเป็นมหาวิทยาลัยอย่างดีเยี่ยมที่สุดในยุคสมัยนั้น เหมือนกับเมืองนอกดูเหมือนว่าจะโผล่พ้นเมืองไทยออกไปการศึกษานับว่าเยี่ยมที่สุด กลับมามีคนนับหน้าถือตาจะเข้าทำราชการงานเมืองใดก็มีแต่คนต้อนรับ เขาเรียนได้ดีเพราะสติปัญญาของเขาใช้ได้ เพียงไม่กี่ปีเขาก็สำเร็จการศึกษา
เมื่อเขากลับมา เขาก็ได้ของแถมจากอาจารย์ ไม่ใช่แต่วิชาเท่านั้น แต่กลับเป็นหญิงสาวผู้งดงามซึ่งเป็นบุตรคนโตของอาจารย์ของเขาเอง เพราะเป็นกฎที่ถือว่า ถ้าศิษย์คนใดเรียนดี อาจารย์มักจะยกบุตรสาวให้ แต่ความจริงคงเป็นว่าอาจารย์เห็นว่าศิษย์คนใดเรียนดีสามารถจะไปดำเนินกิจการได้ และเห็นว่าศิษย์คนนี้คงจะเลี้ยงธิดาของท่านได้ จึงได้มอบให้ก็อาจเป็นได้
แต่อย่างไรก็ตามเป็นอันว่าปิงคุตตระจะได้รับมอบธิดาแสนสวยจากท่านอาจารย์ให้พากลับบ้านด้วย แม้เขาจะไม่พอใจแต่ก็ต้องรับ เขารู้สึกว่าหญิงคนนี้ไม่ค่อนชอบมาพากลเสียแล้วเห็นหน้าก็ไม่พอใจเสียแล้ว แถมเข้าใกล้ยังร้อนเสียอีกด้วย
แบบนี้มันคล้าย ๆ กับเรื่องทศกัณฐ์ที่ไปทำความชอบชะลอเขาพระเมรุได้รับพรให้ขอของที่ชอบใจได้ ก็เลยขอเมียพระอิศวรเสียเลย แต่แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เข้าใกล้ก็ร้อนจะจับจะต้องที่ใดมันก็ร้อนไปหมด จนกระทั่งเดินทางอุ้มก็ไม่ได้ ต้องเทินศีรษะไป เฮ้อ..กรรม ..กรรม
พ่อนี้ก็เช่นเดียวกัน กลางคืนก็นอนร่วมกันไม่ได้ เมื่อขึ้นไปบนที่นอน พ่อปิงคุตตระเป็นต้องกระโดดลงมานอนข้างล่างมันร้อน มันร้อนจริง ๆ ใครจะทนไหว เขาได้แต่ร่ำร้องเช่นนี้
เรื่องนี้เป็นเพราะว่าเป็นกาลกิณีกับสิริร่วมกันไม่ได้เท่านั้นเอง จึงเป็นเหตุให้ปิงคุตตระกับธิดาอาจารรย์อยู่ร่วมกันไม่ได้ ใครล่ะเป็นกาลกิณีและใครเป็นสิริ เดินทางมาได้ตั้ง ๗ วัน ต่างคนต่างเดินจนมากระทั่งถึงกรุงมิถิลา ทางที่เขาเดินผ่านมีต้นมะเดื่อใหญ่ขึ้นอยู่ มีพวงห้อยระย้ากำลังสุกน่ากิน
เขาเดินทางมากำลังเหน็ดเหนื่อยหิวโหยพอมาพบมะเดื่อเข้าก็ดีใจ เออ? ได้แก้หิวล่ะ เขานึกอยู่ในใจ พอ มาถึงก็ไม่ฟังเสียง ปีนขึ้นไปบนต้นได้ก็เก็บกินเอา ๆ จะนึกถึงเมียที่อยู่โคนต้นบ้างก็หาไม่ นางเห็นเช่นนั้นจึงร้องขึ้นไปว่า
พี่จ๋า โยนมาให้น้องกินแก้หิวบ้างสิคะ แทนที่นายปงคุตตระจะโยนลงมาให้อย่างที่นางร้องขอกลับตอบว่า
มีตีนมีมือเหมือนกันก็ขึ้นมาเก็บเอาสิ จะหวังกินแรงคนอื่นทำไม ?
ถ้าเป็นหญิงสมัยนี้เห็นมีจะร้องไห้หรือไม่นายปิงคุตตระได้ตายคาต้นมะเดื่อแน่นอน แต่นี้เป็นธิดาของอาจารย์ตักศิลา นางไม่ร้องไห้เลย ปีนขึ้นไปบนต้นมะเดื่อเก็บผลที่สุก ๆ มากินแก้หิว
เจ้าผู้ชายไร้ความคิด ควรจะเรียกเจ้าปงคุตตระว่าอย่างนี้เพราะไม่เห็นแก่เพศที่อ่อนแอแล้วยังแถมประพฤติสิ่งอันชั่วร้ายส่ออัธยาศัยอันธพาลเสียด้วย เมื่อเขาเห็นนางขึ้นไปบนต้นมะเดื่อเขารีบลงมา เขารีบไปเอาหนามไผ่หนามไม้เเหลมคมมาสะต้นมะเดื่อไว้โดยรอบต้น แล้วบอกกับนางว่า
เชิญอยู่ให้สบายเถอะ พี่ไปล่ะ แล้วเขาก็ออกเดินจนลับตาไป นางลงไม่ได้ก็ต้องนั่งอยู่บนต้นมะเดื่อนั่นเอง
วันนั้นเผอิญพระเจ้าวิเทหราชเสด็จไปประพาสราชอุทยานตกเวลาเย็นผ่านมาทางนั้นก็พบนางอยู่บนต้นมะเดื่อ พอเห็นเท่านั้นก็เกิดความรักขึ้นทันที
พระพุทธเจ้าตรัสว่าความรักมี ๒ อย่าง คือ เคยอยู่ร่วมกันมาแต่ปางก่อน
๑ และทำประโยชน์ให้ปัจจุบันอย่าง ๑ จึงจะเกิด ได้
พระเจ้าวิเทหราชอาจจะเป็นเพราะชาติปางก่อนได้เคยเป็นคู่สมัครรักใคร่กันมาก่อน พอเห็นกันจึงเกิดความรักทันที พระองค์ก็ให้ราชบุรษเข้าไปถามว่า
แม่หนู แม่น่ะมีคนหวงแหนบ้างหรือเปล่า นางได้เล่าความจริงให้ราชบุรษฟังตั้งแต่ต้น พร้อมกับเสริมว่า
บัดนี้สามีดิฉันได้หนีไปแล้ว ดิฉันเลยไม่รู้ว่าจะไปไหนจึงนั่งอยู่ที่นี่ เมื่อราชบุรุษกราบทูลความนั้นให้พระเจ้าวิเทหราชทรงทราบพระองค์ก็ตรัสว่า
ออ เดี๋ยวนี้นางไม่มีพันธะ เราจะเลี้ยงดูนางเอง จึงรับนางลงมาจากต้นมะเดื่อแล้วนำไปไว้ในตำแหน่งอัครมเหสี ท่านคิดดูเอาเองว่า ฝ่ายหญิงหรือฝ่ายชายที่เป็นสิริกาลกิณี
นับแต่นั้นมา ประชาชนก็ขนานนามพระนางว่าพระนางอุทุมพร เพราะได้นางมาจากต้นมะเดื่อ นางได้รับความสำราญอย่างล้นเหลือ
และเมื่อพระเจ้าอยู่หัวชอบเสด็จพระพาสพระราชอุทยานพวกข้าราชบริพารจึงแผ้วถางทางที่จะเสด็จผ่านให้เรียบร้อยที่ใดรกรุงรังก็จัดแจงให้เตียนสะอาด ที่ไม่เสมอก็ให้ถมให้เสมอกัน
จึงต้องมีการปรับปรุงอยู่เสมอ และก็จะต้องให้งานเสร็จเร็วทันการประพาสครั้งต่อไป จึงต้องมีการจ้างให้บุคคลภายนอกมาทำความสอาดตัดต้นไม้ เกลี่ยถนน ขุดตอออกยั้วเยี้ยไปหมด
แต่พระเจ้าวิเทหราชเสด็จเร็วกว่ากำหนด ในขณะเสด็จไปถึงจึงพบเห็นคนงานเหล่านั้นกำลังปฎิบัติงานอยู่
ในพวกคนงานเหล่านั้น มีเจ้าหนุ่มปิงคุตตระผู้ละทิ้งแก้ววิเศษเสีย มารับจ้างเกลี่ยถนนอยู่ด้วย
|