อันธการวรรคที่ ๒ (วรรคว่าด้วยเวลากลางคืน)
สิกขาบทที่ ๑ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่มืด)
นางภิกษุณีบางรูปยืนบ้าง สนทนาบ้าง กับบุรุษสองต่อสองในราตรีอันมืด มิได้ตามประทีป. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ทำเช่นนั้น.
สิกขาบทที่ ๒ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่ลับ)
นางภิำกษุณีบางรูปยืนบ้าง สนทนาบ้าง กับบุรุษสองต่อสองในที่ลับ. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ทำเช่นนั้น.
สิกขาบทที่ ๓ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามยืนหรือสนทนาสองต่อสองกับบุรุษในที่แจ้ง)
นางภิกษุณีบางรูปเห็นว่า ห้ามทำ เช่น สิกขาบทที่ ๒ ในที่ลับ จึงยืนบ้าง สนทนาบ้าง กับบุรุษสองต่อสองในที่แจ้ง มีผู้ติเตียน. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ทำเช่นนั้น.
สิกขาบทที่ ๔ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามทำเช่นนั้นในที่อื่นอีก)
นางถุลลนันทาภิกษุณี กับบุรุษสองต่อสอง ยืนอยู่บ้าง สนทนากันบ้าง กระซิบที่หูกันบ้าง ส่งนางภิกษุณีที่เป็นเพื่อนไปเสียบ้าง ในถนนรกบ้าง ในถนนตันบ้าง (ถนนเช่นนี้ เข้าทางไหนต้องออกทางนั้น) ในทางแยกบ้าง. มีผู้ติเตียน. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท อาบัติแก่นางภิกษุณีผู้ทำเช่นนั้น.
สิกขาบทที่ ๕ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามเข้าบ้านผู้อื่นแล้วเวลากลับไม่บอกลา)
นางภิกษุณีบางรูปไปฉันประจำในบ้านหนึ่ง. วันหนึ่งเมื่อฉันเสร็จแล้วก็หลีกไปโดยมิได้บอกลาเจ้าของบ้าน. นางทาสีกวาดบ้าน จึงเอาเครื่องลาดใส่ลงไปในภาชนะ. เจ้าของบ้านไม่เห็นเครื่องลาด จึงถามเอากับนางภิกษุณี นางภิกษุณีตอบว่าไม่ทราบ. เขาก็ทวงเอากับนางภิกษุณี บริภาษเอาแล้วตัดการถวายอาหารประจำ. ภายหลังคนทั้งหลายพบเครื่องลาดนั้นในภาชนะ จึงให้เจ้าของบ้านไปขอขมานางภิกษุณีนั้น. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้เข้าไปสู่สกุลก่อนเวลาอาหาร (ก่อนเที่ยง) นั่งบนอาสนะแล้ว ไม่บอกลาเจ้าของบ้านก่อนหลีกไป.
สิกขาบทที่ ๖ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามนั่งนอนบนอาสนะโดยไม่บอกเจ้าของบ้านก่อน)
นางถุลลนันทาภิกษุณีเข้าไปสู่สกุลในเวลาหลังอาหาร (เที่ยงไปแล้ว) ไม่บอกเจ้าของบ้าน นั่งบ้าง นอนบ้าง เหนืออาสนะ๑ มนุษย์ทั้งหลายละอายนาง ก็ไม่นั่งไม่นอนเหนืออาสนะ (เกรงจะเป็นการตีเสมอ) และพากันติเตียน. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีที่เข้าสู่สกุล ในเวลาหลังอาหาร ไม่บอกเจ้าของบ้านก่อน นั่งหรือนอนบนอาสนะ.
สิกขาบทที่ ๗ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามปูลาดที่นอนในบ้านโดยไม่บอกเจ้าของบ้าน)
นางภิกษุณีหลายรูปเดินทางไปสู่กรุงสาวัตถี ในระหว่างทางแวะขออาศัยพักกับสกุลพราหมณ์แห่งหนึ่ง. นางพราหมณีขอให้รอจนกว่าพราหมณ์ผู้สามีจะกลับมา. นางภิกษุณีก็ปูลาดที่นอน ด้วยคิดว่าจะรอแล้วนั่งบ้าง นอนบ้าง. พราหมณ์นั้นมาในเวลากลางคืน ถาม ทราบความแล้ว สั่งให้ไล่ออกไป. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้เข้าสู่สกุลในเวลาวิกาล ไม่บอกเจ้าของบ้านก่อนปูลาด หรือใช้ให้ปูลาดที่นอนแล้วนั่งหรือนอน.
สิกขาบทที่ ๘ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามติเตียนผู้อื่นไม่ตรงกับที่ฟังมา)
นางภัททากาปิลานีเห็นศิษย์ที่ตนเป็นอุปัชฌายะ๒ บวชให้ รับใช้ดี จึงกล่าวกะนางภิกษุณีทั้งหลายว่า "แม่เจ้าทั้งหลาย นางภิกษุณีนี้อุปฐากเราดี เราจักให้จีวรแก่เธอ." นางภิกษุณีนั้นก็เทียวพูดยกโทษกะผู้อื่นด้วยถ้อยคำ (ประชด) ที่ถือมาผิด จำมาผิดว่า "ได้ยินว่า ข้าพเจ้าอุปฐากแม่เจ้าไม่ดี แม่เจ้าจึงไม่ให้จีวรแก่ข้าพเจ้า." ความทราบถึงพระผู้มีพระภาค จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณี ผู้ยกโทษผู้อื่นด้วยถ้อยคำที่ถือมาผิด ทรงจำผิด.
สิกขาบทที่ ๙ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามสาปแช่งด้วยเรื่องนรกหรือพรหมจรรย์)
ของของนางภิกษุณีหลายรูปหาย นางภิกษุณีจึงพากันถามนางจัณฑากาลีภิกษุณีว่า เห็นบ้างไหม ? นางจัณฑกาลีภิกษุณีก็สาปแช่งตัวเอง สาปแช่งผู้อื่นว่า ถ้าข้าพเจ้าเอาของไป ขอให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์ ขอให้ตกนรก ถ้าใครหาความจริงไม่จริง ก็ขอให้เคลื่อนจากพรหมจรรย์ ให้ตกนรก. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้สาปแช่งตัวเองหรือผู้อื่นด้วยนรกหรือพรหมจรรย์.
สิกขาบทที่ ๑๐ อันธการวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามทำร้ายตัวเองแล้วร้องไห้)
นางจัณฑกาลีภิกษุณีทะเลาะกับนางภิกษุณีอื่น ๆ ก็ตีอกชกหัวแล้วร้องไห้ พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ทำร้ายตัวเองแล้วร้องไห้.
๑. อาสนะ คือเครื่องลาดหรือปูลาด แต่ในท้ายสิกขาบทแก้ว่า ที่ว่างแห่งบัลลังก์ จึงหมายความว่า นั่งบนเก้าอี้ ก็ชื่อว่านั่งบนอาสนะ
๒. คำว่า อุปัชฌายะ สำหรับนางภิกษุณีใช้ว่า ปวัตตินี ก็ได้ อุปัชฌายา ก็ได้
|