ตุวัฏฏวรรคที่ ๔ (วรรคว่าด้วยการนอนร่วมกัน)
สิกขาบทที่ ๑ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามนอนบนเตียงเดียวกันสองรูป)
นางภิกษุณีสองรูปนอนร่วมกันบนเตียงเดียวกัน พวกมนุษย์พากันติเตียนว่าทำเหมือนคฤหัสถ์. พระผู้มีพระภาคทรงทราบ จึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีที่นอนบนเตียงเดียวกันสองรูป.
สิกขาบทที่ ๒ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามใช้เครื่องปูลาดและผ้าห่มร่วมกันสองรูป)
นางภิำกษุณีสองรูปนอนร่วมกัน ใช้เครื่องปูลาดและห่มผืนเดียวกัน. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ทำเช่นนั้น.
สิกขาบทที่ ๓ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามแกล้งก่อความรำคาญแก่นางภิกษุณี)
มนุษย์ทั้งหลายพากันสรรเสริญนางภัททากาปิลานีภิกษุณีด้วยประการต่าง ๆ. นางถุลลนันทาภิกษุณีริษยา จึงเดินจงกรม (เดินกลับไปกลับมา) บ้าง ยืนบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง สอนธรรมบ้าง ใช้ให้สอนบ้าง ทำการท่องบ่นบ้าง เบื้องหน้า นางภัททากาปิลานี (เพื่อก่อความรำคาญให้). พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้แกล้งก่อความรำคาญแก่นางภิกษุณี.
สิกขาบทที่ ๔ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามเพิกเฉยเมื่อศิษย์ไม่สบาย)
นางถุลลนันทาภิกษุณีไม่พยาบาลเอง ไม่ขวนขวายเพื่อให้ผู้อื่นพยาบาลสหชีวินี (คือนางภิกษุณีที่ตนเป็นอุปัชฌายะ บวชให้) ผู้เป็นไข้ เป็นที่ติเตียน. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ทำเช่นนั้น.
สิกขาบทที่ ๕ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามฉุดคร่านางภิกษุณีออกจากที่อยู่)
นางถุลลนันทาภิกษุณี ให้ที่อยู่แก่นางภัททากาปิลานีภิกษุณีแล้ว ภายหลังมีจิตริษยา โกรธเคืองฉุดคร่านางภัททากาปิลานี จากที่อยู่ เป็นที่ติเตียน. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ให้ที่อยู่แก่นางภิกษุณีแล้ว โกรธเคือง ฉุดคร่าเองหรือใช้ให้ฉุดคร่าออกไป.
สิกขาบทที่ ๖ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามคลุกคลีกัลคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี)
นางจัณฑกาลีภิกษุณีคลุกคลีกับคฤหบดีบ้าง บุตรคฤหบดีบ้าง เป็นที่ติเตียน. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีที่คลุกคลีกับคฤหบดีหรือบุตรคฤหบดี เป็นผู้อันนางภิกษุณีทั้งหลายตักเตือนแล้ว ไม่ฟัง ภิกษุณีสงฆ์สวดประกาศให้ละเลิก ครบ ๓ ครั้ง แล้วก็ยังไม่ละเลิก.
สิกขาบทที่ ๗ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามเดินทางเปลี่ยวตามลำพัง)
นางภิกษุณีเดินทางเปลี่ยว มีภัยเฉพาะหน้า ภายในแว่นแคว้น โดยมิได้ไปกับหมู่เกวียน ถูกพวกนักเลงประทุษร้าย เป็นที่ติเตียน. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้เดินทางเช่นนั้น.
สิกขาบทที่ ๘ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามเดินทางเช่นนั้นนอกแว่นแคว้น)
ความในสิกขาบทนี้เหมือนกับสิกขาบทที่ ๗ ต่างแต่ห้ามเดินทางเช่นนั้นนอกแว่นแคว้น คือออกนอกรัฏฐะ (เช่น จากแคว้นกาสีไปสู่แคว้นมคธ).
สิกขาบทที่ ๙ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามเดินทางภายในพรรษา)
นางภิกษุณีเดินทางภายในพรรษา เป็นที่ติเตียน. พระผู้มีพระภาคจึงทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้ทำเช่นนั้น.
สิกขาบทที่ ๑๐ ตุวัฏฏวรรค ปาจิตติยกัณฑ์ (ห้ามอยู่ประจำที่เมื่อจำพรรษาแล้ว)
นางภิกษุณีอยู่จำพรรษในกรุงราชคฤห์. ในฤดูหนาว ในฤดูร้อน ก็คงอยู่ประจำในที่นั้นเป็นที่ติเตียน. พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติสิกขาบท ปรับอาบัติปาจิตตีย์แก่นางภิกษุณีผู้จำพรรษาแล้วไม่หลีกไปสู่ที่จาริก แม้สิ้นระยะทาง ๕-๖ โยชน์.
|